โอบกอดความเท่าเทียมในองค์กรด้วยความรักและการยอมรับ

มิถุนายน 17, 2568 ความรู้เชิงลึกด้านทรัพยากรบุคคล
โอบกอดความเท่าเทียมในองค์กรด้วยความรักและการยอมรับ

ยุคสมัยแห่งความหลากหลายในโลกของการทำงานมาถึงแล้ว โดยสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการยอมรับความเท่าเทียมก็คือการที่องค์กรตั้งแต่ระดับ start up ไปจนถึงระดับโลก ต่างพร้อมใจกันสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นกลาง เปิดกว้าง และมองเห็นคุณค่าของพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม ยังมีองค์กรหลายแห่งที่ยังพบปัญหาในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปิดกว้างและยอมรับพนักงานทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะชาว LGBTQ+   

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTQ+ และเพื่อช่วยให้ผู้นำองค์กรมีความเข้าใจในทาเลนท์กลุ่มเพศทางเลือก พร้อมกับโอบรับความเท่าเทียมและความหลากหลายในองค์กรมากขึ้น เราจะพาผู้อ่านทุกท่านไปเจาะลึกตลาดแรงงานที่เต็มไปด้วยความผันผวน โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่กลุ่มทาเลนท์ LGBTQ+ ซึ่งประกอบไปด้วย เกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กช่วล คนข้ามเพศ และกลุ่มที่ไม่จำกัดเพศ (เควียร์) เริ่มเข้าสู่โลกของการทำงานพร้อมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ ความยืนหยุ่น และบุคลิกภาพที่โดดเด่น ทว่า กลับพบอุปสรรคในการหางานด้วยเหตุผลหลายประการ     

ความท้าทายในการหางานของชาว LGBTQ+

ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่เปิดรับเพศทางเลือกมาโดยตลอด ทั้งในวัฒนธรรมและสื่อต่างๆ หรือแม้แต่ในสังคมทั่วไป อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ประเทศไทยก็เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประกาศรับรองสมรสเท่าเทียมระหว่างเพศเดียวกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย [1] อย่างไรก็ตาม การจ้างงานก็ยังเป็นหนึ่งในอุปสรรคของชาว LGBTQ+ ส่วนใหญ่ 


โดยข้อมูลจากแบบบสำรวจของ
World Bank พบว่ากลุ่มคนข้ามเพศจำนวน 77%  เกย์ 62.5% และเลสเบี้ยน 49% ยังคงพบกับปัญหาในการสมัครงาน และเมื่อรวมทาเลนท์กลุ่มดังกล่าวเข้ากับชาว LGBTQ+ ทั้งหมดในประเทศไทย (6.5%) ก็จะเห็นได้ว่ามีคนทำงานกว่า 2 ถึง 3.3 ล้านคนที่ถูกมองข้ามในขั้นตอนการรับสมัครงาน เนื่องจากมีเพศสภาพที่แตกต่าง [2]  ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจน ว่าองค์กรหลายแห่งยังไม่ต้อนรับพนักงานเพศทางเลือก และยังไม่จริงจังกับการวางนโยบายที่สนับสนุนความเท่าเทียมและความหลากหลาย

ทำไมองค์กรควรให้ความสำคัญกับการสร้าง Workforce ที่หลากหลาย  

การต้อนรับทาเลนท์ชาว LGBTQ+ เข้าร่วมองค์กรไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ผู้นำควรพิจารณา เนื่องจากการสร้าง workforce ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย เป็นกลยุทธ์ที่สร้างข้อได้เปรียบทางธุรกิจมากมาย อาทิ 

  • ช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และริเริ่มแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร: ทีมที่มีความหลากหลายมาพร้อมกับมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งช่วยผลักดันวิธีการทำงานและวิธีรับมือกับปัญหาที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น  
  • สร้างภาพลักษณ์องค์กรที่แข็งแรง:บริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง จะช่วยดึงดูดทาเลนท์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเคลื่อนไหวทางสังคม     
  • เพื่มความผูกพันที่พนักงานมีต่อองค์กร: การโอบกอดความหลากหลายเป็นรากฐานของวัฒนธรรมองค์กรที่ทำให้พนักงานทุกคนรู้สึกปลอดภัย เป็นตัวของตัวเอง สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และพร้อมที่จะอยู่คู่องค์กรนานขึ้น 
  • เข้าถึงลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น: พนักงาน LGBTQ+ จะช่วยให้ผู้นำองค์กรมีความเข้าใจในกลุ่มลูกค้าเพศทางเลือก ซึ่งเป็นการช่วยขยายฐานธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น   
  • ก้าวทันสังคม ลดความเสื่ยงต่อการสร้างภาพลักษณ์ที่ล้าสมัย: การยอมรับความหลากหลายอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้องค์กรก้าวทันบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการสร้างภาพลักษณ์ที่เลือกปฏิบัติอีกด้วย 


5
เคล็ดลับ เติมความหลากหลายในองค์กร

1. วางนโยบายการจ้างงานที่ไม่เลือกปฏิบัติ

การจะสร้างกลุ่มพนักงานที่หลากหลาย ต้องเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการรับสมัครงาน โดยก่อนที่จะเผยแพร่โฆษนาหาพนักงาน ผู้นำควรตัดข้อความหรือคำบรรยายที่มีการระบุเพศและมีเนื้อหาที่อคติ ซึ่งอาจเป็นการกีดกันทาเลนท์ชาว LGBTQ+ ได้ นอกจากนั้น ควรมีขั้นตอนการคัดเลือกพนักงานที่ไร้อคติ (Blind Recruitment) เช่น คัดเลือกโดยไม่ให้ Recruiter รู้ชื่อ เพศ หรือเห็นรูปของแคนดิเดทขณะสัมภาษณ์งาน   


การเข้าหาทาเลนท์ชาว
LGBTQ+ ผ่าน job board เฉพาะกลุ่ม หรือเครือข่ายมหาวิทยาลัย รวมทั้งการร่วมมือกับองค์กรเพื่อสังคม ก็เป็นอีกแนวทางที่ช่วยเพิ่มความยุติธรรมในกระบวนการคัดเลือกพนักงาน พร้อมกับดึงดูดทาเลนท์ที่หลากหลายมากขึ้น 

2. อบรมพนักงานให้รับรู้ถึงความหลากหลายในสังคม

การอบรมพนักงานให้มีความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายในสังคม คือรากฐานสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมในองค์กร การฝึกอบรมดังกล่าวควรเจาะลึกหัวข้อสำคัญ เช่น อคติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว (Unconscious Bias) การกระทำที่แฝงความรุนแรง (Microaggression) คำพูดแบ่งแยก และการแบ่งพรรคพวกในที่ทำงาน โดยพนักงานทุกคน ตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึงผู้บริหาร ควรได้รับการอบรมทั้งหมด

3. สร้างกลุ่มเครือข่ายพนักงาน (Employee Resource Groups)  

กลุ่มเครือข่ายพนักงาน หรือ ERGs คือกลุ่มอาสาสมัครที่ทำหน้าที่สร้างความเป็นกลุ่มก้อนและความเหนียวแน่นในหมู่พนักงาน ซึ่งการตั้งกลุ่ม ERGs ให้กับชาว LGBTQ+ ในองค์กร ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้พนักงานเพศทางเลือกได้แบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ พร้อมกับให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน  

กลุ่ม ERGs ยังเป็นกระบอกเสียงสำคัญที่ช่วยให้ผู้นำองค์กรเข้าใจความต้องการและปัญหาของพนักงานกลุ่มเล็กอีกด้วย ดังนั้น องค์กรจึงควรให้ความสำคัญกับการจัดตั้งและสนับสนุนกลุ่มทรัพยากรพนักงาน โดยมอบโอกาสให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมองค์กรมากขึ้น เพื่อเป็นการลดช่องว่างระหว่างพนักงานเพศทางเลือกและกลุ่มผู้นำองค์กร

4. มอบสวัสดิการที่เอื้อต่อพนักงานเพศทางเลือก

การมอบสวัสดิการที่เอื้อต่อเพศทางเลือกคือการสนับสนุนพนักงาน LGBTQ+ ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ผู้นำองค์กรควรมอบสวัสดิการสุขภาพที่ครอบคลุมต่อความต้องการของพนักงานเพศทางเลือก เช่น การดูแลสุขภาพของคนข้ามเพศ (gender-affirming care) และกระบวนการทางแพทย์เพื่อเพิ่มโอกาสการมีบุตร (fertility treatments) สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน นอกจากนั้น นโยบายการลาหยุดงานสำหรับคนมีลูกก็ควรครอบคลุมถึงครอบครัวทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวทางสายเลือด หรือครอบครัวที่มีบุตรบุญธรรม ในขณะเดียวกัน ผู้นำองค์กรก็ควรดูแลสุขภาพจิตของพนักงาน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในกลุ่ม LGBTQ+ อีกด้วย 

5. เฉลิมฉลองและสนับสนุนพนักงานที่หลากหลาย

การมองเห็นและการยอมรับเป็นเสาหลักของสังคมที่เปิดกว้าง ดังนั้น ผู้นำองค์กรควรเฉลิมฉลองหมุดหมายสำคัญของความเท่าเทียมอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี เช่น Pride Month วันตระหนักถึงคนข้ามเพศสากล และวันต่อต้านการเหยียดรักร่วมเพศ ชาวไบเซ็กช่วล และคนข้ามเพศ โดยการเฉลิมฉลองวันดังกล่าว ควรสอดแทรกความรู้ เปิดโอกาสให้พนักงานได้สนทนาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับสังคม LGBTQ+ พร้อมกับวางแคมเปญเผยแพร่การสนับสนุนวันพิเศษของเพศทางเลือกผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย หรือแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ผ่านธง Pride  


การเปิดกว้างให้พนักงาน
LGBTQ+ มีกระบอกเสียงในการสื่อสารภายในองค์กร พร้อมกับสนับสนุนให้พนักงานเพศทางเลือกก้าวขึ้นมาในตำแหน่งผู้นำ และนำเสนอกลุ่มเพศทางเลือกในแผนการตลาด เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความหลากหลายในองค์กรอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับแสดงออกว่าองค์กรให้คุณค่า และมองเห็นพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน  

ปิดท้าย  

ขณะที่สังคมและเศรษฐกิจในประเทศไทยกำลังก้าวสู่เส้นทางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรจำเป็นต้องก้าวทันความเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน โดยการโอบกอดความเท่าเทียมในองค์กรด้วยความรักและการยอมรับต่อทาเลนท์ชาว LGBTQ+ และทุกๆ คน เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างทีมงานที่มีคุณภาพ ผลักดันความคิดสร้างสรรค์ พร้อมกับเปิดเส้นทางสู่อานาคตที่มองเห็นคุณค่าของมนุษย์ทุกๆ คนอย่างไร้อคติ 


Ref:

  1. https://www.bbc.com/news/articles/cge7g93xjw9o
  2. https://www.bangkokbiznews.com/health/social/1077099