ไทยติด Top 10 ประเทศที่มีศักยภาพการแข่งขันด้าน HR ในเอเชียแปซิฟิค ด้านสิงคโปร์ครองอันดับหนึ่งในภูมิภาค 6 ปีซ้อน
สิงคโปร์ครองแชมป์ศักยภาพการแข่งขันด้านทรัพยากรบุคคลของโลก 6 ปีซ้อนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และรั้งตำแหน่งอันดับ 2 ของโลก ด้านไทยอยู่ที่ลำดับที่ 66 ของโลก และติด Top 10 ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค จากการประกาศผลการจัดอันดับศักยภาพการแข่งขันด้านทรัพยากรบุคคลของโลก (Global Talent Competitiveness Index, GTCI) ที่วัดศักยภาพการผลิต ดึงดูด พัฒนา และรักษาทรัพยากรบุคคล ใน 125 ประเทศทั่วโลก จากความร่วมมือของสถาบันอินเสียด บริษัท ทาทา คอมมิวนิเคชั่นส์ และ กลุ่มบริษัทอเด็คโก้กรุ๊ป
ธีมของผลสำรวจในปีนี้คือ “Entrepreneurial Talent and Global Competitiveness” ที่เน้นเรื่องความสำคัญของทักษะความเป็นผู้ประกอบการที่จะช่วยพัฒนานวัตกรรมและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับองค์กร เมือง และประเทศ เพื่อให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกยุคดิจิทัล
ในปีนี้มี 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคที่ติดอันดับ Top 30 ของโลกได้แก่ สิงคโปร์ ที่อยู่อันดับ 2 ของโลก และมีคะแนนนำโด่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งทางด้านปัจจัยภายใน การดึงดูดคนเก่ง และความรู้และความสามารถในระดับสากล รองลงมาได้แก่ ประเทศนิวซีแลนด์ ที่อยู่อันดับที่ 11 ประเทศนี้สามารถทำอันดับได้สูงจากความโดดเด่นด้านการดึงดูดบุคลากรทั้งต่างชาติและในประเทศ ขณะที่ประเทศออสเตรเลียที่อยู่ในระดับไล่เลี่ยกันก็สามารถรั้งอันดับที่ 12 ไว้ได้จากรากฐานความแข็งแกร่งด้านคุณภาพการศึกษา ส่วนญี่ปุ่นได้อันดับที่ 22 ของโลก โดยมีคะแนนด้านปัจจัยส่งเสริมภายในระดับสูง ขณะที่มาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของไทยได้อันดับที่ 27 โดยสามารถทำคะแนนได้สูงในทุกด้านยกเว้น คะแนนด้านการรักษาบุคลากร เนื่องจากคุณภาพชีวิตยังเป็นรองประเทศชั้นนำอื่นๆ ส่วนเกาหลีใต้ ได้อันดับ 30 แต่เป็นที่น่าสนใจว่าเมื่อวัดผลในระดับเมืองแล้วพบว่า กรุงโซล สามารถสร้างประวัติศาสตร์ติด Top 10 ของโลกเป็นเมืองแรกของทวีปเอชีย ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการผลักดันโซลให้เป็นเมืองอัจฉริยะจากภาครัฐ อย่างไรก็ตามผลการสำรวจยังพบว่าอุปสรรคสำคัญของประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่นคือประเด็นเรื่องความเสมอภาคทางเพศ
สำหรับประเทศไทยนั้นติดอันดับที่ 66 จากเดิมอันดับที่ 70 ครองอันดับ 10 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และอันดับ 4 ในภูมิภาคอาเซียน โดยปัจจัยด้าน “ความรู้ความสามารถในระดับสากล” “ทักษะวิชาชีพ” และ “ปัจจัยส่งเสริมภายใน” มีค่าดัชนีสูงขึ้นทำให้ไทยสามารถทำอันดับได้ดีขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะอันดับด้านความรู้ความสามารถของคนไทยในระดับสากลพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากอันดับที่ 68 มาเป็นอันดับที่ 58 จาก “ความสามารถในการคิดค้นสินค้าและบริการใหม่” ของคนไทย ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวระเบียงเศรษฐกิจเขตภาคตะวันออก (EEC) ที่เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาแข่งขันกันพัฒนาธุรกิจสินค้าและบริการใหม่ ๆ อ้างอิงจากข้อมูลที่ธุรกิจส่วนใหญ่ในพื้นที่เป็นธุรกิจ SMEs ถึง 98.10%
|
|||
2 |
สิงคโปร์ |
67 |
อินโดเนเซีย |
11 |
นิวซีแลนด์ |
77 |
มองโกเลีย |
12 |
ออสเตรเลีย |
80 |
อินเดีย |
22 |
ญี่ปุ่น |
82 |
ศรีลังกา |
27 |
มาเลเซีย |
83 |
ภูฏาน |
30 |
เกาหลีใต้ |
91 |
ลาว |
36 |
บรูไน |
92 |
เวียดนาม |
45 |
จีน |
95 |
คีร์กีซสถาน |
58 |
ฟิลิปปินส์ |
107 |
กัมพูชา |
66 |
ไทย |
108 |
ปากีสถาน |
เมื่อสำรวจในบรรดาประเทศที่ได้อันดับสูง พบว่าหลายประเทศมีลักษณะเด่นร่วมกันคือ การกำหนดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาประเทศ เปิดกว้างให้กับผู้ที่มีทักษะผู้ประกอบการ มีนโยบายเศรษฐกิจและสังคมที่ดี และมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม
Bruno Lanvin, ผู้อำนวยการจาก Global Indices สถาบันอินเสียด และผู้ร่วมเขียนงานวิจัยชิ้นนี้ให้ความเห็นว่า: “รายงาน GTCI 2019 ชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นว่าทักษะผู้ประกอบการ ความยืดหยุ่น ความหลากหลาย และความสามารถในการปรับตัว คือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกวันนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมประเทศสิงโปร์ถึงเป็นผู้นำในด้านความรู้ความสามารถในระดับสากล และนำนิวซีแลนด์อยู่กว่า 10 อันดับ”
Ian Lee ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและคณะกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทอเด็คโก้กรุ๊ปเผยว่า “ทุกวันนี้มีความต้องการบุคลากรที่มีคุณภาพสูงเพิ่มขึ้นทั่วโลก ในระดับภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิคเองจึงต้องทำให้มั่นใจว่าในแต่ละประเทศมีปัจจัยส่งเสริมภายใน การดึงดูดคน พัฒนาคน การรักษาคน ทักษะสายวิชาชีพ และความรู้ความสามารถในระดับสากลอยู่ในระดับที่ดี สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการ ขณะเดียวกันองค์กรเองก็ต้องทำความเข้าใจว่าการให้ความสำคัญกับบุคลากรที่มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่องค์กรที่เป็นสตาร์ทอัพท่านั้น แต่เป็นวาระที่องค์กรใหญ่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะหากขาดตรงนี้ก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นองค์กรที่ล้าหลังเมื่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมได้พัฒนาไป”
Vinod Kuma, ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทาทา คอมมิวนิเคชั่นส์ กล่าวว่า “เทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วกำลังเข้ามาในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิค ก่อให้เกิดความต้องการในการนำเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงและพัฒนาสินค้าและบริการให้เหมาะกับผู้บริโภคในภูมิภาค ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคู่ขนานกันคือการสร้างชุดความคิดเรื่องการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลให้เป็นวาระสำคัญในระดับองค์กรและทำมันให้สำเร็จ องค์กรไหนสามารถทำได้ก่อน สามารถสร้างสรรค์วัฒนธรรมของการเอาผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางได้ก่อน หรือแม้แต่เลิกยึดติดกับอดีตได้ก่อน ก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับองค์กรเอง ตัวอุตสากรรม รวมทั้งเมืองและประเทศในอนาคตได้”
สำหรับปีหน้า (GTCI 2020) จะจัดทำในหัวข้อ ‘Global Talent in the Age of Artificial Intelligence ’จากกระแสของปัญญาประดิษฐ์ของปัญญาประดิษฐ์ที่เข้ามามีส่วนสำคัญต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนศักยภาพการแข่งขันด้านทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยครั้งถัดไปจึงจะเน้นศึกษาเปรียบเทียบถึงศักยภาพของแต่ละเมือง แต่ละประเทศ ว่ามีความพร้อมแค่ไหนในการรับมือและใช้ประโยชน์จากระบบปัญญาประดิษฐ์