INSEAD (Institut Européen d'Administration des Affaires) มหาวิทยาลัยชั้นนำด้านธุรกิจระหว่างประเทศ) ได้แถลงผลดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันการผลิต ดึงดูด และรักษาคนเก่งทั่วโลก (Global Talent Competitiveness Index - GTCI) ครั้งที่ 4 ในวันนี้ ซึ่งเป็นการสำรวจและศึกษาร่วมกันระหว่างกลุ่มบริษัทอเด็คโก้ และ สถาบันพัฒนาความเป็นผู้นำด้านทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital Leadership Institute -HCL) ของประเทศสิงคโปร์
สวิตเซอร์แลนด์ ยังคงครองอันดับ 1 ในดัชนีเป็นปีที่สองติดต่อกัน เช่นเดียวกับสิงคโปร์ซึ่งรักษาอันดับ 2 ไว้ได้ โดยมีประเทศจากกลุ่มประเทศนอร์ดิก 4 ประเทศ (สวีเดน, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์ และนอร์เวย์) ติด 10 อันดับแรกด้วย ขณะที่อันดับสูงสุดอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลง โดยอังกฤษเลื่อนขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ตามด้วยสหรัฐ ที่ครองอันดับ 4 และสวีเดนอยู่ที่อันดับ 5 และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอเชียเนีย ไทยอยู่ในอันดับกลางๆที่อันดับที่ 73 โดยมาเลเซียครองอันดับที่ 28 ฟิลิปปินส์อยู่อันดับที่ 52 ขณะที่เวียดนาม อินโดนีเซีย และกัมพูชายังคงตามหลังไทย โดยอยู่ที่อันดับ 86, 90 และ 108 ตามลำดับ
สิงคโปร์ยืดหยัดในตำแหน่งผู้นำความมีศักยภาพทั้งในระดับโลก (อันดับที่ 2) และระดับภูมิภาค (อันดับที่ 1) เป็นครั้งที่ 4 ตามมาด้วยออสเตรเลีย (อันดับที่ 6) และนิวซีแลนด์ (อันดับที่ 14) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอเชียเนียได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่หลากหลายในการผลิต ดึงดูด และรักษาคนเก่งได้เป็นอย่างดี ญี่ปุ่นซึ่งครองอันดับที่ 22 ในระดับโลก หรืออันดับที่ 4 ในระดับภูมิภาค มีความสามารถโดยรวมที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะร่วงลงไปจากที่ 19 เมื่อปีที่แล้วก็ตาม แต่ญี่ปุ่นเองก็มีสิ่งที่ต้องปรับปรุงคือเรื่องความสามารถในการดึงดูดคนเก่ง (ได้อันดับที่ 51) เช่นเดียวกับสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) (อันดับที่ 28 ในระดับโลก หรือ อันดับ 6 ในระดับภูมิภาค) ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาสูงเป็นอันดับสองของโลก (2) และเป็นประเทศที่มีสภาวะแวดล้อมทางการตลาดที่เอื้อต่อการแข่งขัน (อันดับที่ 1) และมีการลงทุนด้าน R&D ระดับ world-class ในขณะที่ มาเลเซีย (อันดับที่ 28 ของโลก) แม้ว่าจะติดอันดับที่ต่ำกว่าญี่ปุ่น (แต่สูงกว่าเกาหลีใต้หนึ่งอันดับ) ก็ตาม ยังมีศักยภาพในการดึงดูดคนเก่ง (อันดับที่ 35) ที่ดีกว่าทั้งญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ศักยภาพในการแข่งขันการผลิต ดึงดูด และรักษาคนเก่ง (จีทีซีไอ) ประจำปี 2017 |
|||||||
Rankings on GTCI and by pillar |
|||||||
Country |
GTCI ranking |
Enable |
Attract |
Grow |
Retain |
VT Skills |
GK Skills |
Singapore |
2 |
1 |
1 |
13 |
7 |
8 |
1 |
Australia |
6 |
17 |
6 |
9 |
14 |
25 |
5 |
New Zealand |
14 |
4 |
8 |
11 |
28 |
34 |
8 |
Japan |
22 |
5 |
51 |
19 |
16 |
32 |
23 |
Malaysia |
28 |
22 |
35 |
31 |
39 |
16 |
41 |
S.Korea |
29 |
24 |
70 |
21 |
48 |
35 |
19 |
Philippines |
52 |
59 |
62 |
65 |
66 |
43 |
40 |
China |
54 |
52 |
100 |
39 |
71 |
81 |
27 |
Mongolia |
72 |
63 |
65 |
71 |
80 |
83 |
59 |
Thailand |
73 |
55 |
66 |
43 |
79 |
100 |
71 |
Vietnam |
86 |
83 |
96 |
88 |
87 |
98 |
56 |
Indonesia |
90 |
84 |
105 |
87 |
93 |
65 |
91 |
Cambodia |
108 |
90 |
108 |
96 |
100 |
114 |
113 |
ความสามารถในการแข่งขันของไทยนั้นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 73 ในปีนี้ จาก 69 ในปี 2016 ซึ่งลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน เมื่อเทียบกับปี 2015 ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงในหลายๆด้านเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต ดึงดูด และรักษาคนเก่งให้แข่งกับประเทศอื่นๆได้ ทั้งนี้ ไทยได้คะแนนโดดเด่นที่สุดในด้านการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 21 เมื่อเทียบกับทั่วโลก นอกจากนี้ ไทยยังคงทำผลงานได้ดีในด้านการสนับสนุนการวิจัยและการพัฒนาของไทย (ติดอันดับที่ 64) รวมถึงการเพิ่มจำนวนนักวิจัย (อันดับที่ 59) และปรับคุณภาพของสถาบันทางวิทยาศาสตร์ (อันดับที่ 51) โดยคะแนนใน 3 หัวข้อดังกล่าวปรับขึ้นมาจากปีก่อนหน้านี้ สำหรับอันดับความ สามารถด้านการรักษาคนเก่ง คะแนนด้านความยั่งยืนทางสังคมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 67 จาก 79 เช่นเดียวกัน ระบบบำเหน็จบำนาญและการจัดเก็บภาษี ด้านทักษะการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ของแรงงานไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยมาอยู่ที่อันดับ 44 จาก 45 ส่วนความสามารถในการเคลื่อนย้ายไปทำงานยังที่ต่างๆในประเทศเอง และเทคโนโลยีเครือข่ายสังคมออนไลน์เสมือนจริงก็ได้รับการปรับให้ดีขึ้นเพื่อผลิตและดึงดูดคนเก่งๆ ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นว่าทางภาครัฐและธุรกิจได้ให้ความใส่ใจอย่างจริงจังในการเพิ่มขีดความสามารถของระบบสาธารณูปโภค การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายและนโยบายการจ้างงานที่เอื้อต่อการทำงานในที่ต่างๆโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ในขณะเดียวกัน คะแนนในหัวข้อสภาพแวดล้อมด้านการกำกับดูแลเพิ่มขึ้นแตะอันดับที่ 72 จาก 80 เช่นเดียวกับความมีประสิทธิภาพของรัฐบาล (อันดับที่ 50) และเสถียรภาพทางการเมือง (อันดับที่ 102) ขณะเดียวกัน คะแนนด้านสภาวะทางธุรกิจของไทยปรับขึ้นด้านการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการที่เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกันอยู่ที่อันดับ 52 จาก 53
จากการประเมินผลของความพร้อมด้านการใช้เทคโนโลยีภายในภูมิภาคเดียวกัน สิงคโปร์เป็นผู้นำที่โดดเด่นของเอเชีย ในขณะที่มาเลเซียได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมเป็นอย่างยิ่งสำหรับเรื่องเทคโนโลยีมากกว่าสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) แม้ว่าเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) จะดีกว่าก็ตาม ประเทศจีนมีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีพอสมควรพอๆกับ เวียดนาม
ในปีนี้ เวียดนามเองก็ถูกปรับลดระดับลงมาถึง 4 อันดับ (ครองอันดับที่ 86 จาก 82 ในปีที่ผ่านมา) แต่อย่างไรก็ดี เวียดนามก็มีศักยภาพด้านความรู้ระดับโลก (GK) ในระดับที่น่าประทับใจ เป็นอันดับที่ 56 ของโลก โดยมีคะแนนความสามารถด้านการมี Talent Impact เป็นอันดับที่ 23 ซึ่งดีกว่าประเทศมองโกเลีย, ไทย, อินโดนีเซีย และกัมพูชา แม้ว่าศักยภาพในการเสริมสร้างคนเก่งจะอยู่ที่อันดับ 88 ของโลก แต่คนเวียดนามมีความสามารถในการอ่าน มีความรู้ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในระดับที่สูงมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก ซึ่งสูงกว่า ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ไทย, มาเลเซียและอินโดนีเซีย
ดัชนีชี้วัดนี้ (หรือ GTCI) จะวัดว่าแต่ละประเทศได้ผลิต ดึงดูด และรักษาคนเก่งไว้ให้อยู่ในประเทศตนได้ดีระดับใด เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจนำมาเป็นข้อมูลเพื่อพิจารณาการพัฒนากลยุทธ์สำหรับการส่งเสริมความสามารถของประเทศตนให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ โดยมีประเทศที่เข้าร่วมทั้งหมดจำนวน 118 ประเทศทั่วโลก (เพิ่มขึ้นจาก 109 ประเทศเมื่อปีที่แล้ว) รูปแบบของ GTCI ครั้งที่ 4 นี้เป็นการวัดเรื่องคนเก่งมากความสามารถกับเทคโนโลยี: ตัวการกำหนดรูปแบบในอนาคตของการทำงาน (Talent and Technology: Shaping the Future of Work) รายงานของปี 2017 เป็นการสำรวจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่มีต่อการแข่งขันเรื่องการผลิต ดึงดูด และรักษาคนเก่งโดยระบุว่า แม้ว่างานในทุกระดับจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่เทคโนโลยีก็ยังมีส่วนช่วยในการสร้างโอกาสการทำงานใหม่ๆอีกด้วย อย่างไรก็ดีคนและองค์กรจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ความรู้เทคโนโลยี ทักษะของคน ความยืดหยุ่น และการทำงานร่วมกันเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของธุรกิจ และซึ่งเครือข่ายความสัมพันธ์เชื่อมโยงในระดับแนวราบที่กำลังเข้ามาแทนที่ลำดับชั้นบังคับบัญชาจะกลายเป็นบรรทัดฐานรูปแบบใหม่ของการเป็นผู้นำ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบธุรกิจ และสถาบันการศึกษาจำต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างระบบการศึกษาและนโยบายตลาดแรงงานที่มีความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่ประเทศของตนต้องการ