บริษัทเล็กหรือบริษัทใหญ่ แบบไหนที่ใช่สำหรับเรา?

September 29, 2022 Career Advice
บริษัทเล็กหรือบริษัทใหญ่ แบบไหนที่ใช่สำหรับเรา?

ถ้าคุณกำลังทำงานที่บริษัทใหญ่ คุณอาจจะเคยอิจฉาเพื่อนที่ทำงานในบริษัทเล็กที่มีอิสระในการทำงาน อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ ก็ง่ายดายรวดเร็วไปหมด และในขณะเดียวกันเพื่อนที่อยู่บริษัทเล็กก็อิจฉาคุณที่มีหน้าที่รับผิดชอบชัดเจน ไม่ต้องทำงานหลายตำแหน่งพร้อมกัน  

แม้ว่าทุกวันนี้ gap ระหว่างบริษัทใหญ่และบริษัทเล็กค่อนข้างลดลงกว่าเมื่อก่อนมาก เนื่องจากหลาย ๆ บริษัทพยายามปรับตัว เพิ่มจุดเด่น ปรับปรุงจุดด้อย เพื่อดึงดูด talents เข้ามาทำงาน แต่บริษัทใหญ่และบริษัทเล็กก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง ฉะนั้นเราลองมาดูกันทีละหัวข้อ เพื่อเป็นตัวช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกบริษัทได้ง่ายขึ้น ว่ามีอะไรบ้าง

ความแตกต่างระหว่างบริษัทเล็กและบริษัทใหญ่ที่พบได้ในปัจจุบัน

1.โครงสร้างองค์กร

โครงสร้างองค์กรของบริษัทเล็กจะมีความยืดหยุ่นมากกว่าในแง่ที่ว่าสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างได้ตามจำนวนพนักงานเข้าออกและสภาพเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม ลด หรือโยกย้าย การโยกย้ายตำแหน่งภายในบริษัทสามารถทำได้ง่ายกว่าบริษัทใหญ่ อาจจะเป็นแค่การพูดคุยตกลงกันกับหัวหน้างาน ความง่ายนี้เปรียบเหมือนดาบสองคมคือเป็นข้อดีหากเราเป็นคนอยากย้ายเอง และเป็นข้อเสียหากเราถูกขอให้ย้ายแบบไม่เต็มใจ

โครงสร้างองค์กรของบริษัทใหญ่จะค่อนข้างคงที่มากกว่า เมื่อมีคนออกก็จะรับคนใหม่มาทดแทน หน้าที่ของแต่ละคนก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนมากนัก ทีมในบริษัทใหญ่ก็มักจะใหญ่กว่าบริษัทเล็ก ในทีมหนึ่งจึงอาจจะมีคนทำงานตำแหน่งเดียวกับคุณมากกว่าหนึ่งคน และการขอโยกย้ายตำแหน่งมักจะต้องสมัครใหม่ตามกระบวนการสัมภาษณ์แข่งกับ external candidate

2.รูปแบบการทำงาน

พนักงานในบริษัทเล็กมักจะถูกคาดหวังมีทักษะรอบด้าน และต้องช่วยเหลือผู้อื่นนอกเหนือจากหน้าที่ของตัวเองในบางครั้ง เช่น คุณสมัครงานตำแหน่ง HR แต่หัวหน้าอาจจะคาดหวังให้คุณสามารถคิด content ลง social media เพื่อโปรโมท employer branding ของบริษัทได้ด้วย บริษัทเล็กจึงตอบโจทย์คนที่เบื่อง่าย พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ และต้องการค้นหาตัวเอง บริษัทขนาดเล็กจะเป็นโอกาสอันดีในการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่อยากใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ เพราะไอเดียของคุณมีโอกาสเกิดขึ้นจริงง่ายกว่าอยู่ในบริษัทใหญ่ เนื่องจากทำงานใกล้ชิดกับผู้บริหารมากกว่า

พนักงานในบริษัทใหญ่จะมีหน้าที่รับผิดชอบที่ค่อนข้างแน่นอนจากจำนวนคนในทีมที่มากและทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองชัดเจน มีการทำงานที่เป็นระบบ อาจมีความล่าช้าบ้าง แต่คุณจะไม่ต้องปวดหัวกับขอบเขตและวิธีการทำงานที่ไม่แน่นอน บริษัทใหญ่จึงเหมาะกับคนที่รู้ว่าตัวเองเก่งด้านใดและต้องการพัฒนาทักษะด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษเพื่อเป็น specialist ไอเดียของคุณในบริษัทใหญ่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงเช่นกันเพียงแต่ว่าจะมีขั้นตอนการอนุมัติมากกว่า รวมถึงอาจมีกรอบการทำงานภายใต้ brand ทำให้ไม่ได้มีอิสระแบบ 100%

3.โอกาสในการก้าวหน้า

พนักงานในบริษัทเล็กมีโอกาสก้าวหน้าภายในบริษัทได้ไม่ยากเนื่องจากผู้ใหญ่สามารถมองเห็นผลงานของคุณได้ง่าย และคนน้อยก็มีคู่แข่งน้อย ถ้าคุณมีความสามารถโดดเด่นก็มีโอกาสจะได้ขึ้นเงินเดือนแบบก้าวกระโดดเพราะโครงสร้างเงินเดือนของบริษัทไม่ได้ตายตัวมาก แต่จุดด้อยคือชื่อเสียงบริษัทเล็กอาจจะไม่เตะตา recruiter ของบริษัทอื่นเมื่อคุณต้องการย้ายงาน และอาจจะขาด resource ในเรื่อง training ไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทุกบริษัทจะไม่มี training เสมอไป

พนักงานในบริษัทใหญ่จะได้เปรียบเมื่อต้องการย้ายงานจากชื่อเสียงของบริษัท บริษัทใหญ่มักจะมีโครงสร้างที่ช่วยให้พนักงานได้เติบโตอย่างเป็น step คุณจะยังพอมีความก้าวหน้าในอาชีพแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนที่โดดเด่นที่สุด คุณจะมองออกว่าเส้นทางการเติบโตในบริษัทจะเป็นอย่างไร รวมถึงมี training คอยเติมเต็มทักษะใหม่ ๆ ให้ทันต่อตามความต้องการของตลาด คุณอาจจะมีโอกาสได้เข้า training กับวิทยากรชื่อดัง มี connection กับแบรนด์ใหญ่ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท และมีโอกาสเติบโตไปถึงระดับ regional หรือ global

4.วัฒนธรรมองค์กร

บริษัทเล็กหลาย ๆ แห่งจะมีสภาพแวดล้อมที่รวดเร็วหรือที่เราเรียกกันว่า fast-paced environment หมายความว่าบริษัทคาดหวังให้พนักงานมีความกระตือรือร้นและพร้อมปรับตัวอย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์ต่าง ๆ สภาพสังคมในบริษัทจะมีความสบาย ๆ มากกว่าบริษัทใหญ่ เช่น การวางตัวแบบเป็นพี่เป็นน้อง การแต่งกายแบบสบาย ๆ ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือถ้าเข้ากับสังคมนั้นได้ คุณอาจได้เพื่อนสนิทกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นมา ข้อเสียคือตัวเลือกการเข้าสังคมน้อยกว่า และอาจเกิดความรู้สึกอึดอัดจากช่องว่างความเป็นส่วนตัวที่น้อย

บริษัทใหญ่มีจำนวนพนักงานมากกว่า เป็นสังคมที่ใหญ่กว่า จึงเป็นเรื่องปกติที่บริษัทจะต้องมีกฏเกณฑ์มากกว่าเพื่อควบคุมให้พนักงานอยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบ บริษัทมักจะออกแบบ culture มาอย่างดี เน้นให้พนักงานเป็นมืออาชีพ มี core value ให้พนักงานยึดถือเป็นแนวทางการปฎิบัติเพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของบริษัทสู่คนนอกในทิศทางเดียวกัน พนักงานในบริษัทใหญ่ส่วนใหญ่ไม่ได้รู้จักกันหมด และสนิทสนมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซะมากกว่า

5.สวัสดิการ

บริษัทเล็กมีสวัสดิการไม่ได้ด้อยไปกว่าบริษัทใหญ่ เพียงแต่อาจจะอยู่ในรูปแบบที่ต่างออกไป เช่น แทนที่จะเป็นประกันสุขภาพแบบกลุ่มที่มีความคุ้มครองสูง ก็อาจจะเป็นสวัสดิการเพื่อเพิ่มความสุขให้พนักงานอย่าง อาหาารเช้าฟรี ขนมฟรี มีมุมผ่อนคลาย มุมเล่นเกม บริการปรึกษาจิตแพทย์ และมีกิจกรรม employee engagement ให้พนักงานได้เข้าร่วมอยู่บ่อย ๆ

บริษัทใหญ่ส่วนใหญ่แล้วจะมีสวัสดิการที่มีความเป็นสากล เช่น ประกันสุขภาพแบบกลุ่มครอบคลุมหลากหลายโรค ค่าทันตกรรม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณ และเงินช่วยเหลือในงานพิธีต่าง ๆ และมีการจัดกิจกรรมใหญ่ให้คนทั้งบริษัทได้เข้าร่วมเช่นกัน เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้บ่อยเท่าบริษัทเล็ก

ช่องว่างที่ลดลงระหว่างบริษัทเล็กและบริษัทใหญ่ 

gap ที่ลดลงระหว่างบริษัทเล็กและบริษัทใหญ่น่าจะเป็นเรื่องของความมั่นคง พนักงานประจำในบริษัทใหญ่ไม่ได้การันตีความมั่นคงเท่าเมื่อก่อน เห็นได้ชัดในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาที่หลาย ๆ บริษัทใหญ่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร หรือเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานที่เราอาจจะเคยรู้สึกว่าบริษัทเล็กน่าจะสนิทกันมากกว่าบริษัทใหญ่ แต่เมื่อเทรนด์การทำงานเปลี่ยนเป็น remote working ความใกล้ชิดจึงลดลงไปบ้างไม่ว่าจะอยู่ในบริษัทขนาดใด ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ทุกบริษัทจะมีลักษณะตรงตามที่กล่าวมา เพราะ culture องค์กรก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างได้เช่นกัน

แล้วเราควรเลือกทำงานกับบริษัทเล็กหรือบริษัทใหญ่?

เป็นคำถามที่หลายคนกำลังเจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กจบใหม่ที่กำลังมองหางานแรกในชีวิต คงไม่มีคำตอบที่ตายตัวสำหรับคำถามนี้ วิธีพิจารณาอาจจะเป็นการ ดูว่าตัวเองให้ความสำคัญกับหัวข้อไหนในข้างต้นมากที่สุด เช่น ให้ความสำคัญกับรูปแบบการทำงานที่สุด อยากทำงานหลากหลาย เพื่อค้นหาความชอบที่แท้จริงของตัวเอง แล้วมาชั่งน้ำหนักดูว่าแล้วเราโอเคกับหัวข้ออื่น ไหม เช่น ชื่อเสียงของบริษัทที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก สังคมที่ชวนพูดคุยเรื่องส่วนตัว ถ้ารับได้บริษัทเล็กก็น่าจะตอบโจทย์ของคุณมากกว่า หรือหากใครชอบทำงานแบบเป็น structure มี scope งานและหน้าที่ชัดเจน โอเคที่จะอยู่ในกฎระเบียบ องค์กรใหญ่ก็น่าจะเหมาะกับคุณ

แต่ไม่ว่าจะทำงานกับบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็ก ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่รับประกันความสุข หรือความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้ แต่จะต้องใช้ความพยายามและความตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ เรียนรู้งาน และไม่หยุดพัฒนาตนเอง หากทำแบบนี้ได้ ไม่ว่าจะบริษัทเล็กหรือใหญ่ คุณก็สามารถก้าวหน้า และประสบความสำเร็จในงานได้ในแบบของคุณเอง  

 
------

สำหรับน้อง ๆ นิสิตนักศึกษาจบใหม่ที่ยังมีคำถามเกี่ยวกับการเริ่มงาน Adecco จัดกิจกรรมแนะแนวออนไลน์ชื่อว่า ‘Successful First Jobber Onboarding เปิดวาร์ปสู่โลกการทำงานอย่างมั่นใจ’ กิจกรรมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย สมัครและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://adecco.co.th/en/event/detail/successful-first-jobber-onboarding

 
------

ที่มา: https://www.indeed.com/career-advice/finding-a-job/small-company-vs-big-company