ถ้าจะมีเทรนด์การทำงานสักอย่างในปีนี้ที่หลาย ๆ สำนักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นนโยบายที่องค์กรควรมี” หนึ่งในนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น การสร้างระบบ Internal Mobility หรือการย้ายตำแหน่งงานของคนภายในองค์กร ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นความดีงามที่หลาย ๆ องค์กรบังเอิญค้นพบในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ในตอนที่องค์กรไม่พร้อมจะรับสมัครคนนอก จนต้องใช้ความสามารถของคนในให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลลัพธ์ที่ได้กลับดีต่อทั้งตัวพนักงานและองค์กร แล้วข้อดีที่ว่าคืออะไร? มาทำความรู้จัก Internal Mobility ให้มากขึ้นจากบทความนี้กัน
ทำความเข้าใจ Internal Mobility
Keyword ของ Internal Mobility หรือ Internal Recruitment คือการหมุนเวียนความสามารถของพนักงานภายในองค์กรโดยพนักงานเป็นผู้ตัดสินใจเลือกการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง ไม่ใช่การสั่งโยกย้ายที่ปราศจากความสมัครใจ ซึ่งแบ่งได้เป็นหลายรูปแบบ เช่น การโยกย้ายไปสู่ตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิม คือมีขอบเขตความรับผิดชอบและผลตอบแทนใกล้เคียงหรือเท่าเดิม ไม่ว่าจะในทีมเดิมหรือทีมใหม่ การโยกย้ายไปทำโปรเจกต์พิเศษชั่วคราว การโยกย้ายสถานที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการได้รับโปรโมทไปสู่ตำแหน่งที่สุดขึ้น ก็นับว่าเป็น Internal Mobility ได้เช่นกัน
ส่วนกระบวนการโยกย้าย ส่วนใหญ่แล้วก็พนักงานจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเช่นเดียวกับการรับสมัครคนจากภายนอก เริ่มตั้งแต่เห็นประกาศรับสมัครจากช่องทางภายใน ส่ง resume สัมภาษณ์ รอประกาศผล และเซ็นสัญญา แต่ก็มีกรณีที่อาจละบางกระบวนการไว้ได้เช่นกัน เช่น เป็นผู้สมัครที่ hiring manager ติดต่ออยากให้มาร่วมงานโดยตรงเพียงคนเดียว ไม่มีประกาศรับสมัครงาน ก็อาจไม่ต้องมีการสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ แต่เป็นการนั่งพูดกันแบบ informal ทำแบบทดสอบและพิจารณา portfolio เท่านั้นก็ได้
เหตุผลที่องค์กรควรให้ความสำคัญกับ Internal Mobility
1.ทำให้ทาเลนต์อยู่กับองค์กรนานขึ้น (retention) แค่เหตุผลข้อนี้ข้อเดียวก็อาจจะคุ้มค่ามากพอที่จะนำระบบ Internal Mobility มาใช้แล้ว เนื่องจากความไม่ก้าวหน้าในที่ทำงานเดิม ต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และต้องการลองทำงานอื่น เป็นเหตุผลที่ทำให้คนตัดสินใจย้ายงานมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 (อ้างอิงผลสำรวจ Global Workforce of The Future 2022 ของ The Adecco Group)
ซึ่งผลสำรวจโดย LinkedIn พบว่า Internal Mobility ทำให้พนักงานได้มีโอกาสลองทำงานใหม่ ๆ ที่ตัวเองสนใจ ส่งผลต่อความสุขที่มากขึ้น และทำให้อยู่กับองค์กรนานขึ้น 41% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยได้ย้ายงานภายในองค์กรเลย ที่สำคัญระบบนี้ยังตอบโจทย์ culture การทำงานของคนรุ่นใหม่ที่มักย้ายงานบ่อยกว่าคนรุ่นก่อนได้เป็นอย่างดี
2.เพิ่ม engagement ให้พนักงาน ผลสำรวจโดย LinkedIn พบว่า พนักงานที่มีโอกาสได้ย้ายงานในองค์กรอยากมีส่วนร่วมกับองค์กรมากขึ้น 3.5 เท่า
3.ทำให้งานมีความต่อเนื่องมากขึ้น พบว่า พนักงานเก่าสามารถออกสตาร์ทกับตำแหน่งใหม่ได้เร็วกว่าคนนอกถึง 69% เนื่องจากคุ้นชินกับ culture ขององค์กรอยู่แล้วและมีช่วง onboarding ที่สั้นกว่า รวมถึงองค์กรสามารถสบายใจได้ระดับหนึ่งว่าพนักงานคนนั้นค่อนข้างเข้ากันได้กับ culture ขององค์กรและมี performance ที่ดี เนื่องจากเคยร่วมงานกันมาก่อนแล้ว
4.ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการสรรหาพนักงาน อ้างอิงจากผลสำรวจโดย LinkedIn ที่พบว่า ค่าใช้จ่ายในการสรรหาลดลงเกือบ 20% และใช้เวลาลดลงถึง 63%
5.ช่วยสนับสนุนวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริม DEI & Belonging พนักงานรู้สึกว่าตัวเองสามารถสมัครงานได้อย่างเท่าเทียม และรู้สึกว่าองค์กรเห็นคุณค่าในตัวพวกเขาจากการได้รับโอกาสใหม่ ๆ
6.สร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับองค์กร องค์กรที่อยู่แล้วก้าวหน้าคือองค์กรในฝันของคนทำงาน ดังนั้นเมื่อองค์กรสร้างความประทับใจให้พนักงานได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดการบอกต่อปากต่อปากจนคนภายนอกรับรู้ด้วย ซึ่งจะช่วยดึงดูดทาเลนต์ให้อยากมาร่วมงานกับองค์กรของคุณ
คงจะดีไม่น้อยถ้าคนเก่ง ๆ ต่างอยากเข้ามาทำงานกับองค์กรของคุณและตั้งใจว่าจะอยู่ไปยาว ๆ เพราะองค์กรขึ้นชื่อเรื่องความก้าวหน้า อย่างไรก็ตามระบบ Internal Mobility ที่ส่งเสริมความก้าวหน้าแบบนี้ก็มาอาจพร้อมกับปัญหาหลาย ๆ อย่างให้คุณต้องรับมือ ดังนั้นในบทความหน้าเราจะมาดูกันว่า มีอะไรบ้างที่อาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้ Internal Mobility ไม่ประสบความสำเร็จ พร้อมวิธีจัดการให้อยู่หมัด
อ้างอิง:
https://humaans.io/blog/the-advantages-and-disadvantages-of-internal-recruitment
