5 หนังสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกไฟในการทำงาน

ธันวาคม 26, 2567 ไลฟ์สไตล์
5 หนังสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกไฟในการทำงาน

เมื่อปี 2024 ใกล้จะจบลง พวกเราหลายคนก็ได้กลับบ้านไปใช้เวลากับคนรักและครอบครัวอย่างอบอุ่น บางครอบครัวอาจจะออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ขณะที่บางครอบครัวอาจจะชอบใช้เวลาด้วยกันในบ้าน การดูหนังดีๆ สักเรื่อง จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมที่ทำให้ทุกคนหันมาใช้เวลาร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง  

ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวนี้ เราได้เตรียมลิสต์หนังดีห้าเรื่องเกี่ยวกับโลกแห่งการทำงานที่มาพร้อมเนื้อหาที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คุณนำไปต่อยอด ต้อนรับปีใหม่  


ไปดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง 
 

1. The Intern 
Warner Bros. Pictures
Warner Bros. Pictures

มาเริ่มกันที่หนังดราม่าฟีลกู๊ดอบอุ่นหัวใจอย่าง
The Intern นำแสดงโดยดาราผู้คร่ำหวอดในวงการอย่าง โรเบิร์ต เดอนีโร หนังเล่าเรื่องราวของ เบน วิทเทคเกอร์ ชายอาวุโสที่พบว่าชีวิตเกษียณเงียบสงบเกินไปและไร้ความหมาย จึงหันกลับเข้าสู่โลกของการทำงานอีกครั้ง ในฐานะเด็กฝึกงานให้กับบริษัทขายเสื้อผ้าออนไลน์ที่กำลังเติบโต ซึ่งบริหารโดยซีอีโอสาวที่ไม่มั่นใจว่าเบนจะตามทันยุคสมัยและเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทได้  

ใจความสำคัญของหนังสำหรับคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจคือ คุณไม่มีทางรู้เลยว่าทาเลนท์ที่มีความสามารถจะเดินเข้ามาหาคุณในรูปลักษณ์ไหน คนที่คุณมองผิวเผินและคิดว่าไม่น่าจะทำงานได้รอด อาจจะพกทักษะที่หายากหรือคุณสมบัติที่คุณต้องการเข้ามาก็ได้ ดังนั้น จึงไม่ควรมองข้ามใคร หรือในฐานะพนักงานในองค์กร สิ่งที่คุณควรทำคือการมองเห็นคุณค่าของเพื่อนพนักงานทุกคน และเรียนรู้จากประสบการณ์ที่หลากหลายของคนในแต่ละเจเนอเรชั่น ไม่ว่าจะเป็น พี่ๆ senior วัยอาวุโสที่มีมุมมองที่ลึกซึ้งและความรู้ที่สะสมมานาน หรือน้องๆ จบใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน ที่พกความคิดริเริ่มที่สดใหม่เข้ามาในองค์กร การเรียนรู้ซึ่งกันและกันของคนทุกวัยจะยิ่งช่วยส่งเสริมพนักงานเกิดความเข้าใจ และสามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้องค์กรพัฒนาไปได้อย่างไม่สิ้นสุด 

2. The Wolf of Wall Street
Paramount Pictures
Paramount Pictures

ผู้กำกับมือรางวัลอย่าง
มาร์ติน สกอร์เซซี แท็กทีมกับดาราคู่บุญอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ อีกครั้ง กับหนังดีกรีชิงรางวัลออสการ์ที่อิงมาจากชีวิตจริงของ จอร์แดน เบลฟอร์ท นายหน้าค้าหุ้นชื่อฉาวที่ก้าวเข้ามาทำงานให้กับบริษัท L.F. Rothschild ในปี 1987 และปั่นตลาดหุ้นพร้อมสร้างเรื่องราวสุดแสบ ท้าทายศีลธรรมเพื่อไต่เต้าสู่จุดสูงสุด  

แม้ตลาดหลักทรัพย์จะมีสภาพแวดล้อมที่กดดันสูง แต่หนังก็แสดงให้เห็นถึงพลังของการผลักดันพนักงาน และการสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีการแข่งขันสูง แม้ว่าเบลฟอร์ทจะล้ำเส้นแบ่งทางศีลธรรมอยู่บ่อยครั้ง แต่หากมองข้าในส่วนนั้น คนดูก็สามารถนำเอาหลักการสร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานผ่านการให้รางวัลเพื่อตอบแทนความทุ่มเทของเบลฟอร์ทมาปรับใช้เพื่อส่งเสริมทีมของตัวเองได้

ดังนั้น
ใจความสำคัญทีหัวหน้าหรือผู้นำองค์กรจะได้จากหนังเรื่องนี้คือ ส่งเสริมและผลักดันทีมงานให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง แสดงให้พนักงานเห็นว่าคุณมีความเชื่อมั่นในตัวพวกเขา ขณะเดียวกันก็อย่าลืมรักษาความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ในการบริหารคนและบริหารงานไว้ด้วย  

นอกจากนั้น ประโยค จงขายปากกาเล่มนี้ของเบลฟอร์ท ยังเป็นทริคเล็กๆ ที่คุณนำมาปรับใช้ได้กับการคัดเลือกแคนดิเดทที่มีทักษะที่ตรงตามต้องการ มีความคิดเชิงกลยุทธ์ และมีความเข้าใจในเนื้องาน ให้คุณได้อีกด้วย   

3. The Social Network
Sony Pictures
Sony Pictures

นักแสดงมาดเนิร์ดอย่าง
เจซซี ไอเซนเบิร์ก สวมบทบาทเป็นหนึ่งในคนที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก IT อย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ในหนังดีกรีรางวัลออสการ์ที่กำกับโดย เดวิด ฟินเชอร์ ซึ่งติดตามการก่อกำเนิดที่แสนวุ่นวายของแพลตฟอร์มออนไลน์อันดับต้นของโลกอย่าง Facebook  

ขณะที่ซัคเคอร์เบิร์กพยายามปลุกปั้น Facebook เราจะได้เห็นปัจจัยภายนอก ความท้าทาย และคนที่อยากมีส่วนเกี่ยวข้อง กระโดดเข้ามาสร้างอุปสรรคและจุดหักเหให้กับเรื่องราว ซึ่งความโกลาหล ณ ใจกลางวงการ Tech นั้น มีบทเรียนสำคัญที่เจ้าของกิจการสามารถนำไปปรับใช้ได้ นั่นคือ การสร้างธุรกิจไม่เคยเป็นเรื่องง่าย และการรับมือกับความท้าทาย รวมถึงกลุ่มคนที่ต้องการเข้ามาฉกฉวยโอกาสจากความสำเร็จของคุณนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

นอกจากนั้น ข้อคิดอีกอย่างที่คนดูได้จากหนังคือ ความสำคัญของการสร้างทีมเวิร์คที่แข็งแรง การสื่อสารภายในองค์กรที่มีประสิทธิภาพ และการให้ความเคารพที่ทุกคนในองค์กรมีให้กัน เป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะช่วยผลักดันโปรเจกต์สำคัญสู่ความสำเร็จ
   

4. The Pursuit of Happyness
Columbia Pictures
Columbia Pictures

นักแสดงมากฝีมือ
วิลล์ สมิธ ดัดแปลงเรื่องราวสู้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจของ คริส การ์ดเนอร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์ Gardner Rich & Co มาเป็นภาพยนตร์ดราม่าที่ติดตามช่วงชีวิตที่ยากลำบากของการ์ดเนอร์ ที่ต้องเลี้ยงดูลูกชายตัวน้อย (เจเดน สมิธ) และพยายามฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้กับตัวเองและลูกชาย ด้วยการฝึกงานให้กับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง    

ผู้กำกับชาวอิตาเลียน เกเบรียล มุชชิโน พาคนดูไปเอาใจช่วยการ์ดเนอร์ ผู้ต้องพบเจอกับวิบากกรรมต่างๆ เช่น การเสียอพาร์ตเมนท์ การเลิกลากับภรรยา ไปจนถึงการต้องเป็นคนไร้บ้าน โดยแม้จะต้องรับมือกับความยากลำบาก การ์ดเนอร์ก็พยายามสู้และจัดการกับปัญหาอย่างสุดตัว  

เรื่องราวของการ์ดเนอร์ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมี mindset สู้งานและไม่ย่อท้อ รวมถึงการมีมุมมองแง่บวกในการรับมือกับความท้าทาย สำหรับชาวคนทำงาน ข้อคิดที่ได้จากหนังคือ การทำงานอย่างยืดหยุ่นและอดทนให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอ เพียงแค่คุณมีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว แม้จะมีอุปสรรคเข้ามามากแค่ไหน คุณก็จะสามารถเข้าเส้นชัยได้ในที่สุด 

5. Up in the Air  
Paramount Pictures
Paramount Pictures

การไปพบใครสักคนเพื่อบอกว่าเขาถูกบริษัทไล่ออก ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ แต่นั่นคือหน้าที่หลักของ
จอร์จ คลูนี ในหนังดราม่า-คอมเมดีเรื่องนี้ โดยผู้กำกับ เจสัน ไรท์แมน พาคนดูไปสำรวจเรื่องราวของ ไรอัน บิงแฮม (คลูนี) เจ้าหน้าที่ลดขนาดองค์กร (Corporate Downsizer) ที่พาเพื่อนร่วมงานอายุน้อย (แอนนา เคนดริก) ไปออกงานภาคสนามเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเดินทางไปแจ้งการบอกเลิกจ้างกับพนักงานด้วยตัวเอง แทนที่จะแจ้งผ่านการประชุมออนไลน์อย่างไร้เยื่อใย    

หนังเน้นย้ำว่าการลดจำนวนพนักงานเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดขององค์กร เนื่องจากการเลิกจ้างส่งผลกระทบต่อทั้งตัวพนักงานเองและองค์กรไปพร้อมๆ กัน องค์กรจึงควรคิดไตร่ตรองให้ดี และพิจารณาถึงคุณค่าในตัวพนักงานที่มอบให้กับบริษัท หากจำเป็นต้องตัดสินใจเลิกจ้างจริง ก็ควรปฏิบัติต่อพนักงานด้วยด้วยความเห็นอกเห็นใจและให้เกียรติซึ่งกันและกัน   


นอกจากนั้น หนังยังเผยให้เห็นอีกด้านของชีวิตคนทำงานทีทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานจนไม่มีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใคร และกลายเป็นคนที่ไม่มีมิตรแท้ หนังเรื่องนี้จึงทิ้งข้อคิดเล็กๆ ให้กับคนวัยทำงานทุกคน ว่าเราควรให้ความสำคัญกับการสร้างมิตรภาพกับผู้คนรอบข้างอย่างมีเมตตา 
มีเวลาให้กับคนใกล้ชิด และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบตัว เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว  


ปิดท้าย 
 

และนี่คือภาพยนตร์ห้าเรื่องที่เราอยากจะแนะนำให้ทุกท่านหาเวลาไปชมกันในช่วงเทศกาลนี้ หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะสนุกไปกับหนังทั้งห้าเรื่องนี้ นอกจากความสนุกแล้ว เชื่อว่าทุกคนจะได้รับข้อคิดดีๆ และแรงบันดาลใจ เพื่อนำไปปรับใช้ในการพัฒนาตนเองต่อไปได้ในอนาคต