ปัจจุบันมีคนทำงานไม่น้อยที่ต้องเจอกับปัญหา work ไร้ balance ซึ่งทำให้เกิดปัญหาตามมามากมายไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความสัมพันธ์กับคนรอบตัว เรามาดู 5 สัญญาณเตือนของการขาดสมดุลการใช้ชีวิตเพื่อที่จะหาทางรับมือได้ทันท่วงทีกันค่ะ
1. งานทุกงานเป็นงานด่วน
คุณรู้สึกว่าคุณงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา จบงานนี้ก็มีงานใหม่เข้ามาไม่ขาดสายจนต้องคอยสับเปลี่ยน task จนมือระวิง หากเป็นแบบนี้ต้องรีบจัดลำดับความสำคัญของงานเสียใหม่และวางกำหนดส่งงานให้เหมาะสม เพราะหากทุกงานเป็นงานด่วนแบบนี้ลงท้ายก็ต้องทำงานล่วงเวลาหรือเอางานกลับมาทำที่บ้านตลอดเวลาจนไม่สามารถรักษาสมดุลระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้เลย
2. รับโทรศัพท์/ตอบแชทตลอดเวลา
ขอเพียงเปิดมือถืองานก็สามารถเข้าหาคุณได้ทุกเวลา คุณอาจพบว่าตัวเองต้องคอยตอบแชทและรับโทรศัพท์นอกเวลางานบ่อยขึ้นจนเส้นแบ่งระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวเลือนหายและต้องคอยพะวงเรื่องงานตลอดเวลา บางครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าหรือเสียงเตือน notification ก็ทำให้คุณรู้สึกผวาและกังวลที่จะเปิดดู อาการแบบนี้เป็นอีกหนึ่งสัญญานเตือว่าคุณกำลังขาดสมดุลในการใช้ชีวิตแล้วล่ะค่ะ
3. ไม่มีเวลาเหลือสำหรับดูแลตัวเอง
คุณให้ความสำคัญกับงานมาเป็นอันดับแรก แต่ละวันต้องนั่งทำงานหน้าจอทั้งวันและทำงานล่วงเวลาบ่อยครั้งจนไม่เหลือเวลาสำหรับดูแลตัวเอง คุณอาจพบว่ามื้ออาหารของคุณวนเวียนอยู่แต่อาหารจานด่วน อาหารแช่แข็ง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป บางครั้งก็กินไม่ครบมื้อ สิ่งที่คุณเคยปรนนิบัตตัวเองประจำหลังเลิกงานไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารมื้อดีๆกับครอบครัว การผ่อนคลาย การออกกำลังกาย หรือไปเที่ยวในวันหยุดก็ห่างหายไปนานมากแล้ว แม้แต่ตอนป่วยก็อาศัยกินยาบรรเทาอาการไม่มีเวลาไปหาหมอหรือพักผ่อนดูแลตัวเองให้ดีเท่าที่ควร
4.โรคเริ่มถามหา
การทำงานหนักโดยไม่ได้พักผ่อนเพียงพอนานๆ อาจส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ เช่น อาการปวดหัวที่อาจมีสาเหตุมาจากความเครียดและไมเกรน อาการปวดตาจากการจ้องจอนานเกินไป อาการปวดหลัง ปวดคอ-บ่าไหล่จากการนั่งทำงานนานเกินไป หรืออาการปวดท้องเพราะเครียดลงกระเพาะและทานอาหารไม่ตรงเวลา ป่วยเป็นภูมิแพ้เป็นไข้เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นเวลานานจนร่างกายอ่อนแอ หรือเริ่มมีภาวะนอนไม่หลับเพราะความเครียด หากคุณเริ่มมีอาการเหล่านี้อาจต้องรีบหันกลับมาดูแลตัวเองแล้วนะคะ
5. อารมณ์เปลี่ยนแปลง
ความเครียดสะสมจากการทำงานส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพจิต เราอาจพบว่าเดี๋ยวนี้อาจจะอารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย ชอบอารมณ์เสียใส่คนที่บ้านจนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือในบางรายก็อาจแสดงออกในทางตรงกันข้ามคือเก็บปัญหาไว้กับตัวเอง โทษตัวเองว่าไม่เก่งไม่คู่ควรกับความสำเร็จที่ได้รับจนเครียด หดหู่ หมดแรงบันดาลใจในการทำงาน และอาจเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า บางคนแทบจำไม่ได้แล้วว่าหัวเราะครั้งสุดท้ายเมื่อไร ดังนั้นนอกจากสุขภาพกายแล้วสุขภาพใจเราก็ต้องหมั่นสังเกตและคอยดูแลจิตใจตัวเองด้วยเช่นกัน โดยอาจหาเวลาพักผ่อน บำบัดจิตใจให้ผ่อนคลาย พูดคุยกับเพื่อนและครอบครัว หรือปรึกษาแพทย์ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาค่ะ
work ไร้ balance เป็นปัญหาสำคัญที่นำมาสู่ผลกระทบทางร่างกายและจิตใจ และเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญของการลาออก หากคุณเริ่มเข้าสู่ภาวะนี้ต้องพยายามหาทางแก้ไขโดยหันมารักและดูแลตัวเองให้มากขึ้น ลาพักร้อนชาร์จแบตกันเสียหน่อย รวมทั้งลองหันมาจัดลำดับความสำคัญของงานและวิธีการทำงานใหม่อีกครั้ง โดยอาจขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าในการหาทางออกร่วมกันเรื่องการบริหารภาระงาน ความคาดหวัง และความเป็นไปได้ในการปรับรูปแบบการทำงานยืดหยุ่นขึ้น การนำเทคโนโลยีหรือเครื่องมือต่างๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการและความคล่องตัวในการทำงาน แต่หากแก้ไขไม่ได้จริงๆ ก็อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนงานใหม่เพื่อนำสมดุลในการใช้ชีวิตกลับคืนมาก่อนที่ปัญหา work ไร้ balance จะส่งผลต่อสุขภาพกายใจในระยะยาว