ผลสำรวจอาชีพในฝันของเด็กไทยประจำปี 2556

มกราคม 09, 2556 งานวิจัย/ผลสำรวจ
ผลสำรวจอาชีพในฝันของเด็กไทยประจำปี 2556



ผลการสำรวจประจำปีโดยกลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย ในหัวข้ออาชีพในฝันของเด็กไทย ครั้งที่
4 พบว่าเด็กไทยส่วนใหญ่ ยังคงมีความเอื้ออาทร และ คิดถึงผู้คนรอบข้าง สำหรับอาชีพในฝันยอดฮิตนั้น พบว่า แพทย์ยังคงเป็นอาชีพในฝันของเด็กไทยติดต่อกันเป็นปีที่สี่ ตามด้วยการเป็น วิศวกร” “ตำรวจ” “นักธุรกิจและ ครู

 
ผลการสำรวจครั้งที่สี่บนหัวข้อ  “อาชีพในฝันของเด็กไทย” โดยกลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทยจัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อสำรวจว่า เด็กไทยมีการคิดถึงอาชีพในอนาคต การทำงาน และ กิจกรรมยามว่าง อย่างไรบ้าง โดยผลการสำรวจอาชีพในฝันของเด็กไทยเผยให้เห็นว่า เด็กๆ ผู้เป็นอนาคตของชาตินั้น มุ่งมั่นคิดถึงอาชีพในอนาคตในการที่จะช่วยเหลือผู้อื่น และช่วยเหลือพัฒนาประเทศของเรา โดยอาชีพในฝันสำหรับเด็กๆคือ การเป็น “แพทย์”  ซึ่งเป็นอาชีพในฝันที่ได้รับเลือกมากที่สุดจากเด็กๆติดต่อกันเป็นปีที่สี่ ส่วนอาชีพในฝันอันดับรองลง มาคือ วิศวกร ตำรวจ นักธุรกิจ และ ครู ตามลำดับ


จากผลสำรวจยังเห็นได้ชัดว่า เด็กๆมีความห่วงใยที่จะช่วยเหลือประชาชนและป้องกันพัฒนาประเทศ นอกจากนี้  ผลสำรวจยังได้แสดงให้เห็นอีกว่า ร้อยละ  94 ของเด็กที่ทำแบบสำรวจนั้นเชื่อว่า การใช้เวลาร่วมกับครอบครัวนั้นสำคัญกว่าการหาเงินให้ได้มากๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลูกหลานชาวไทยของเรารัก และเอาใจใส่ครอบครัว รวม ทั้งคิดถึงประเทศชาติและผู้คนรอบข้างอย่างจริงใจ


กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย ได้ทำการสำรวจ “อาชีพในฝันของเด็กไทย” เป็นประจำทุกปี และนำผลที่ได้จากการสำรวจไปเปรียบเทียบกับผลที่ได้จากการสำรวจความคิดเห็นของเด็กๆในลักษณะเดียวกันของบริษัทอเด็คโก้มาเลเซีย สิงคโปร์ และ สหรัฐอเมริกา โดยการถามคำถามง่ายๆ 6 คำถามกับเด็กอายุ ระหว่าง 7-14 ปี


  1. เมื่อโตขึ้นอยากประกอบอาชีพอะไร เพราะเหตุใด และคิดว่าจะได้รายได้ประมาณเท่าไร?
  2. เด็กๆ คิดว่าอาชีพใด ดี/เท่ห์ ที่สุด?
  3. หากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย 3 สิ่งที่ต้องการทำ คืออะไรบ้าง?
  4. เด็กๆ คิดว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างหาเงินให้ได้มากๆ กับใช้เวลาอยู่กับครอบครัว?
  5. ปี พ.ศ. 2556 ที่กำลังจะถึงนี้ เด็กๆ อยากจะทำอะไร?
  6. ถ้าหากเลือกได้ เด็กๆอยากไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศอะไรมากที่สุด?


 จากผลสำรวจเห็นได้ชัดว่า สิ่งแวดล้อมรอบข้างส่งผลกระทบถึงความคิดของเด็กๆ ในเรื่องของอนาคตและการแสดงออกของพวกเขา ซึ่งผลจากการสำรวจของกลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย พบข้อคิดที่น่าสนใจหลายด้านอย่างเช่น แม้ว่าเด็กๆผู้ตอบแบบสอบถามจะมีลักษณะและพื้นฐานการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน อาชีพในฝันยอดฮิต 4 ปีซ้อนของเด็กคือ การเป็น “แพทย์” ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากช่วยเหลือผู้คน และช่วยรักษาคนไข้ และสมาชิกในครอบครัว โดยมีความต้องการด้านรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100 ถึง 10,000,000 บาท อย่างไรก็ตามในปีนี้ อาชีพ ครู ตกอันดับลงไปเป็นอันดับที่ 5 รองจากอาชีพ วิศวกร ตำรวจ นักธุรกิจ ซึ่งได้มาแทนที่อาชีพ ทนายความ พ่อครัว ซึ่งเป็นอาชีพในฝันอันดับรองลงมาในปีที่แล้ว


ผลการสำรวจยังพบว่าเด็กๆมีความแตกต่างทางความคิดเป็นอย่างมากในเรื่องของอาชีพในฝัน ในขณะที่เด็กบางส่วนอยากทำงานเพื่อช่วยสังคม โดยเลือกเป็น “คุณหมอ” ก็ยังมีเด็กบางคนชอบสนุก ชอบออกกำลังโดยเลือกเป็น “นักเต้นบีบอย”  นอกจากนี้ เด็กๆ เหล่านี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขัน เช่นเด็กส่วนหนึ่งกล่าวว่าอยากเป็นตำรวจ จะได้ไม่ต้องเสียค่าปรับ หรือ เด็กอีกคนหนึ่งกล่าวว่าอยากเป็นนักเขียนโปรแกรมเนื่องจากจะได้เขียนโปรแกรมเกมส์สำหรับตนเองได้เล่นสนุกได้อย่างใจคิด


อาชีพในฝันยอดฮิต 5 อันดับในใจของเด็กไทย

  1. แพทย์
    2. วิศวกร
    3. ตำรวจ
    4. นักธุรกิจ
    5. ครู

 

ผลจากการสำรวจในปีนี้ พบว่า “ทหาร” ก็ยังเป็นอาชีพที่เท่ห์ที่สุดเช่นเดียวกับปีที่แล้ว ส่วนอันดับรองลงมา คือ ตำรวจ และ แพทย์ ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากเด็กๆ เห็นว่า อาชีพในเครื่องแบบเหล่านี้ นอกจากเครื่องแบบดูเท่ห์ดี แล้ว ก็ยังพ่วงด้วยอำนาจในตำแหน่งหน้าที่การงานในการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วยในเวลาที่ประเทศชาติต้องการ


สำหรับการสอบถามเด็กๆว่า ถ้าหากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศไทย 3 สิ่งที่ต้องการทำคืออะไร? เด็กๆส่วนใหญ่ให้คำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยและความรับผิดชอบสูง อาทิเช่น

- ปกป้องดูแลประชาชน

- พัฒนาประเทศ และพัฒนาระบบการศึกษาให้กับประชาชนในเขตทุรกันดาร

- สร้างความสามัคคี

- ลดปัญหาเรื่องยาเสพติดและการเล่นการพนัน

- พัฒนาระบบสาธาณูปโภคของท้องถิ่น เช่น ถนน ขนส่งมวลชน โรงพยาบาล เป็นต้น

- รักษ์โลกด้วยการรักษาสิ่งแวดล้อม

- ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น 

 

ในขณะเดียวกัน ก็มีเด็กๆบางส่วนที่มีจินตนาการแตกต่างออกไป เช่น จะทำการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเรื่องการแต่งเครื่องแบบนักเรียน จะติดแอร์ให้ทั่วประเทศ หรือแม้แต่ จะออกกฎให้มีการนอนหลับพักผ่อนหลังอาหารกลางวัน เป็นต้น
 
สำหรับคำถามที่ถามเด็กๆว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว  หรือ การหาเงินได้มากๆ  ผลการสำรวจพบว่า เด็กๆผู้เป็นอนาคตของชาติมากกว่าร้อยละ  94 บอกว่า การใช้เวลาอยู่กับครอบครัวสำคัญกว่าการหาเงินให้ได้มากๆ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ครอบครัวได้ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีในการเลี้ยงดูเด็กๆเหล่านี้ ทำให้เด็กๆเหล่านี้ เห็นความสำคัญของครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งนี้ เด็กๆ ให้เหตุผลดังนี้

- มีความอบอุ่นและมีความสุขเมื่ออยู่กับครอบครัว

- ครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

- การหาเงินจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ครอบครัวต้องมาก่อน 


แม้แต่เด็กๆบางคนที่เลือกว่า การหาเงินสำคัญกว่า ก็ให้เหตุผลว่า จะทำงานหาเงินเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบาย
 
คำตอบที่ได้รับส่วนใหญ่ต่อคำถามเกี่ยวกับกิจกรรมที่เด็กๆ ทำในเวลาว่าง ก็เป็นคำตอบที่คล้ายกับเด็กๆทั่วโลก คือ เป็นกิจกรรมเพื่อการพักผ่อน  หรือฆ่าเวลา  อย่างเช่น  การดูทีวี เล่นเกมส์  ฯลฯ  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคำถามที่ว่า  “สิ่งที่ต้องการทำในปีหน้า (พ.ศ.2556)” แล้ว เด็กไทยโดยส่วนใหญ่ตอบว่า อยากใช้เวลากับครอบครัว และ เพื่อนๆ โดยมีคำตอบว่าอยากเล่นเกมส์ เป็นคำตอบรองลงมา แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เด็กไทยก็ยังให้ความสำคัญกับครอบครัวและคนรอบข้างก่อนเสมอ
 
ผลการสำรวจยังพบอีกว่า เด็กๆ ยังคงให้ความสำคัญกับการเรียน โดยจะพยายามตั้งใจเรียนให้มากขึ้น และเรียนให้เก่งขึ้นในปีหน้า (พ.ศ.2556) เด็กๆหลายคน ก็ยังอยากใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนให้มากยิ่งขึ้น และ บางส่วนก็อยากทำงานช่วงวันหยุดเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือครอบครัว
 
สำหรับคำถาม “ถ้าหากเลือกได้เด็กๆอยากไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศอะไรมากที่สุด?” คำตอบที่ได้รับจากเด็กๆมีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น อเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ และเกาหลี แต่ประเทศที่ได้รับคำตอบจากเด็กๆมากที่สุดคือ “ประเทศไทย” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า “ไม่ว่าประเทศใดจะมีความน่าสนใจ หรือมีความน่าตื่นเต้นอย่างไรก็ตาม แต่ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่เด็กๆอยากอยู่มากที่สุด”

ดาวน์โหลดฉบับเต็ม

ธิดารัตน์  กาญจนวัฒน์  – ผู้อำนวยการส่วนภูมิภาคไทยและเวียดนาม กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย กล่าวว่า “เราสามารถรับรู้ถึงความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเด็กๆ ซึ่งเห็นได้จากการตอบคำถามด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมา ผลการสำรวจนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความรักความผูกพันที่เด็กๆเหล่านี้มีต่อครอบครัวของตนอย่างมากมาย อีกทั้งยังมองเห็นได้ถึงความเอื้ออาทรห่วงใยต่อผู้คนรอบข้าง ซึ่งความรักของพ่อแม่นั้นจะสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันการถูกครอบงำของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ ทั้งนี้การสำรวจนี้เป็นการยืนยันว่าเด็กๆนั้นเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดของโลก และเป็นความหวังที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของประเทศ"