Adecco Thailand ได้จัดทำแบบสำรวจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความคิดเห็นและความคาดหวังของคนทำงานในประเทศไทย อาทิเรื่องของเงินเดือน เทรนด์การทำงาน ปัจจัยใหม่ๆ ที่ส่งผลต่อการทำงาน ฯลฯ เพื่อนำเสนอภาพรวมของตลาดแรงงานไทยในปัจจุบันผ่านมุมมองของพนักงาน และเป็นแนวทางให้กับองค์กรและคนหางาน นำมาใช้ปรับปรุงการดำเนินงานและการสมัครงาน
โดยแบบสำรวจของเราได้สรุปความคิดเห็นของพนักงานในประเทศไทยกว่า 1,300 คน ไปดูกันว่าเทรนด์ไหนน่าติดตาม และเราควรปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
Work-Life Balance และการเติบโตอย่างมั่นคงคือปัจจัยหลักในการดึงดูดคนสมัครงาน

เริ่มกันที่ความคาดหวังของทาเลนท์ในปัจจุบัน แบบสำรวจของเราพบว่า พนักงานกว่า 93 เปอร์เซ็นต์ พร้อมย้ายงานใหม่ โดย 40 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนนี้ มองหางานใหม่อยู่เป็นประจำ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาสามเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับแบบสำรวจในปีก่อนหน้า โดยมี job board ออนไลน์ขึ้นแท่นเป็นแพลทฟอร์มอันดับหนึ่งของพนักงานกว่า 73 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ 59 เปอร์เซ็นต์หางานผ่าน recruitment agency และอีก 56 เปอร์เซ็นต์ เข้าเว็บไซต์บริษัทเพื่อหาตำแหน่งงานว่าง นอกจากนั้น พนักงานอีก 53% ใช้ LinkedIn เป็นช่องทางหลักในการหางาน
เมื่อถอยออกมามองภาพรวม เรื่องของเงินเดือนและค่าตอบแทน รวมถึง work-life balance และโอกาสเติบโตในองค์กร ยังคงเป็นทั้งปัจจัยหลักที่ดึงดูดให้ทาเลนท์เปลี่ยนงานใหม่ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พนักงานยังคงทำงานในองค์กรของตัวเองต่อไป ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นเหล่าคนทำงานให้ความสำคัญกับ work-life balance มากขึ้นจากเดิม 58% ในปี 2023 เป็น 67% ในปี 2024
ดูแบบสำรวจฉบับเต็ม และติดตามเทรนด์การทำงานล่าสุดได้ใน Adecco Thailand Salary Guide 2025
เดินหน้าสู่อนาคต กับเทรนด์ Digitization

ขณะที่หลายองค์กรกำลังปรับตัวเข้ากับการทำงานยุคใหม่ เทรนด์อย่าง digitalization และรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ก็เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม IT และservice/consulting รวมทั้ง construction/engineering นอกจากนั้น พนักงานอุตสาหกรรม service/consulting ยังยกให้ Generative AI (GenAI) เป็นตัวช่วยสำคัญในการตัดสินใจ การบริหารจัดการลูกค้า และการสร้างคอนเทนท์อย่างรวดเร็ว (51%)
ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมยานยนต์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาขั้นตอนผลิตรถยนต์และลดต้นทุนการผลิตด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ก็เปิดรับเทคโนโลยี automation มาใช้งานอย่างกว้างขวาง (53%)
AI: ตัวช่วยสำคัญของทั้งองค์กร และคนสมัครงาน

ผู้ร่วมทำแบบสอบถามกว่า 83 เปอร์เซ็นต์ ใช้งาน AI ในชีวิตประจำวัน โดยที่ 26 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนนี้เผยว่าได้ใช้งาน AI ทุกวัน อีกด้านหนึ่ง องค์กรหลายแห่งก็เริ่มใช้งาน AI อย่างแพร่หลายในทุกระดับ ตั้งแต่พนักงานตำแหน่งเล็ก ไปจนถึงระดับผู้บริหาร ซึ่งใช้ AI ช่วยในการตัดสินใจและการวางกลยุทธ์
เนื่องจาก AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แบ่งเบางาน manual ลดทอนขั้นตอนที่ต้องทำซ้ำ และประหยัดเวลาไปในตัว องค์กรจึงนำ AI เข้ามาช่วยในงานแปลภาษา การเขียนคอนเทนท์ และการค้นคว้าข้อมูล ในขณะเดียวกัน คนหางานกว่า 67 เปอร์เซ็นต์ ก็มีความรู้สึกทางบวกกับการใช้งาน AI ในขั้นตอนสมัครงาน โดยเราพบว่าผู้ทำแบบสอบถามได้ใช้ AI ในการเขียนเรซูเม่ แมตช์งานที่ใช่ พร้อมกับการเขียนจดหมาย cover letter สำหรับงานหลายตำแหน่งในหลายอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม แม้เเทคโนโลยี AI จะเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการสมัครงานอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อสร้างความโปร่งใสและความง่ายต่อการใช้งาน เนื่องจากเราพบว่ายังมีคนบางกลุ่มที่ยังไม่เปิดใจกับ AI และกังขาเกี่ยวกับความยุติธรรมและประสิทธิภาพของปัญญาประดิษฐ์
ด้วยเหตุนี้ การนำ AI มาใช้ในการคัดเลือกพนักงานจึงยังไม่เป็นที่นิยมเหมือนกับในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยในปัจจุบัน มีองค์กรเพียง 49 เปอร์เซ็นต์ ที่มองว่า AI ช่วยประหยัดเวลา และนำมาปรับใช้ ในขั้นตอนสรรหาและคัดเลือกแคนดิเดท
Upskill เพื่อรักษาสมดุลระหว่าง AI และคนทำงานในองค์กร

Hiring Manager กว่า 51 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่ามนุษย์ยังคงเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในการทำงาน โดย 69 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่ามนุษย์คือกุญแจสำคัญในขั้นตอนสัมภาษณ์งาน ที่จะทำหน้าที่ตัดใจอย่างซับซ้อน และคัดเลือกแคนดิเดทที่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร พร้อมกับสร้างสัมพันธ์กับแคนดิเดทในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถทำได้
อีกด้านหนึ่ง Hiring Manager จำนวน 36 เปอร์เซ็นต์ ยังคงไม่เปิดใจกับแคนดิเดทที่ใช้ AI ในการสมัครงาน เนื่องจากกังวลว่าเป็นการพึ่งพาเทคโนโลยี มากเกินไป ซึ่งเป็นการสร้างช่องว่างในองค์กร การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับ AI จึงเป็นทางแก้ปัญหาที่เข้ามาช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้ได้
อย่างไรก็ตาม มีองค์เพียงหยิบมือที่เปิดโอกาสให้พนักงานฝึกฝนทักษะ AI โดยโปรแกรมฝึกฝนดังกล่าว มีเพียงหนึ่งหรือสองครั้งต่อปีเท่านั้น โดยเราพบว่าพนักงานอุตสาหกรรมยานยนต์และการก่อสร้างเข้าถึงโอกาสพัฒนาทักษาะ AI ได้น้อยที่สุด พนักงานส่วนใหญ่จึงต้องเรียนรู้ทักษะ AI ด้วยตัวเองผ่านสื่อออนไลน์เช่นวิดีโอ บทความ หรือคอร์สต่างๆ รวมทั้งลองผิดลองถูกหน้างาน
เพื่อลดช่องว่างและผลักดันองค์กรให้เท่าทันเทรนด์ล่าสุด ผู้นำจำเป็นต้องส่งเสริมการพัฒนาทักษะ AI ให้กับพนักงาน
ทักษะจำเป็นที่ช่วยสร้างความโดดเด่นในการหางาน

ในภาพรวม ทักษะ AI ทักษะวิเคราะห์ข้อมูล และทักษะการเป็นผู้นำและบริหารจัดการ เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างข้อได้เปรียบให้กับทาเลนท์ แต่หากมองโดยละเอียด ทักษะจำเป็นจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละสายงาน เช่นอุตสาหกรรมเฉพาะทางอย่าง ก่อสร้างและวิศวกรรมยกให้การบริหารจัดการโปรเจกต์ (Project Management) เป็นทักษะจำเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่อุตสาหกรรม IT ต้องการพนักงานที่มาพร้อมความเชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning ส่วนอุตสาหกรรมทั่วไปจะมองหาพนักงานที่มีทักษะพื้นฐานเช่น ทักษะผู้นำทั่วไป และทักษาะในการปฏิบัติงาน
ในมุมของทาเลนท์ 40 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ใช้ AI ในการทำงานประจำวันเชื่อว่าทักษะ AI เป็นตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มโอกาสการได้งาน ได้เลื่อนตำแหน่ง และได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น
ปิดท้าย
ภาพรวมของตลาดแรงงานในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ work-life balance และการเติบโตในสายงานมาก เป็นสิ่งที่คนทำงานให้ความสัญมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เทรนด์ล่าสุดอย่าง digitization และ AI เข้ามาเปลี่ยนแปลงองค์กรและรูปแบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลายอุตสาหกรรมจะใช้งาน AI อย่างแพร่หลาย แต่ก็องค์กรหลายแห่งก็ยังขาดบุคลากรที่มีทักษะ AI
ดังนั้น กุญแจสำคัญสำหรับผู้นำองค์กรในการเดินหน้าสู่โลกแห่งการทำงานยุคใหม่ จึงอยู่ที่การผลักดันพนักงานให้ฝึกฝนทักษะจำเป็นใหม่ๆ เช่นทักษะที่เกี่ยวข้องกับ AI พร้อมกับพัฒนากลยุทธ์ในการคัดเลือกพนักงานผ่านการใช้งาน AI และบุคคลากรอย่างมีสมดุล
อีกด้านหนึ่ง คนสมัครงานและพนักงานทั้งหลายจำเป็นต้องเรียนรู้และฝึกฝนทักษะจำเป็นเช่น การวิเคราะห์ข้อมูล ความเป็นผู้นำ และทักษะ AI เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองในตลาดแรงงานที่ผันผวนและมีการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ